ราคาน้ำมันจะไปทางไหน? ข้อตกลงรัสเซีย-ยูเครนส่งผลอย่างไร?

2025-03-24 | ข้อตกลงสันติภาพรัสเซียยูเครน , ตลาดน้ำมันโลก , บทความวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์ , ผลกระทบราคาน้ำมันจากรัสเซีย , วิเคราะห์ราคาน้ำมัน

ข่าวการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง และตลาดโลกก็กำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตลาดน้ำมัน ตั้งแต่สงครามเริ่มต้นในปี 2022 ราคาน้ำมันมีความผันผวนอย่างหนัก  ทำให้เคยพุ่งขึ้นเกือบ 50% แตะระดับสูงกว่า $120 ต่อบาร์เรลในช่วงหนึ่ง สงครามทำให้ซัพพลายทั่วโลกหยุดชะงัก เกิดมาตรการคว่ำบาตรและส่งแรงกดดันต่อตลาดพลังงานทั่วโลก แต่ตอนนี้เมื่อมีสัญญาณของข้อตกลงสันติภาพ ราคาน้ำมันอาจเผชิญกับบททดสอบครั้งใหม่ ราคาจะร่วงลงเมื่อความกังวลด้านอุปทานคลี่คลาย? หรือจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกครั้ง? 

ติดตามบทวิเคราะห์เชิงลึกว่าข้อตกลงครั้งนี้อาจเปลี่ยนทิศทางของตลาดน้ำมันอย่างไร 

ข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดน้ำมันโลก โดยเฉพาะในด้านอุปทาน การค้า และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ 

🔹 อุปทานน้ำมันจากรัสเซียอาจเพิ่มขึ้น: มาตรการคว่ำบาตรที่ผ่านมาได้จำกัดการส่งออกของรัสเซีย ทำให้ต้องขายน้ำมันในราคาต่ำ หากมีข้อตกลงสันติภาพ ข้อจำกัดเหล่านี้อาจผ่อนคลาย ส่งผลให้รัสเซียสามารถส่งออกน้ำมันกลับเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น 

🔹 ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อาจลดลง: ตลอดสงคราม ความไม่แน่นอนได้ส่งผลให้ตลาดมีการตั้งราคาที่รวม “ค่าความเสี่ยง” เอาไว้ หากสงครามสิ้นสุดลง ความเสี่ยงนี้ก็จะหายไป ซึ่งอาจกดดันราคาน้ำมันให้ลดลง 

🔹 ท่าทีของ OPEC+ ยังไม่แน่นอน: รัสเซียเป็นสมาชิกหลักของกลุ่ม OPEC+ การเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การผลิตของรัสเซียหลังจากมีข้อตกลงสันติภาพ อาจส่งผลกระทบต่อแผนการผลิตของทั้งกลุ่ม 

หากอุปทานน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการยังคงเท่าเดิม ราคาน้ำมันก็มีโอกาสปรับตัวลดลง แต่ในโลกของตลาดพลังงาน ทุกอย่างมักไม่ง่ายขนาดนั้น 

ข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจนำมาซึ่งเสถียรภาพในตลาดน้ำมันโลก หากความตึงเครียดคลี่คลายและมาตรการคว่ำบาตรถูกยกเลิก การผลิตน้ำมันของรัสเซียอาจพุ่งสูงขึ้น และเมื่อมีน้ำมันเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ราคาน้ำมันก็อาจปรับตัวลดลง 

นักวิเคราะห์บางรายคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันอาจลดลง 5 ดอลลาร์ ถึง 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งอิงจากสมมติฐานที่ว่า รัสเซียจะเพิ่มการส่งออกน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอุปทานที่มากขึ้นมักนำไปสู่ราคาที่ลดลง 

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของข้อตกลงสันติภาพ จะเป็นตัวแปรสำคัญเช่นกัน หากในข้อตกลงมีการระบุให้ลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาตลาด ก็อาจทำให้ผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ลดลงหรือจำกัดอยู่ในระดับหนึ่ง 

พูดง่ายๆก็คือข้อตกลงสันติภาพไม่ได้หมายความว่าราคาน้ำมันจะต้องลดลงเสมอไป 

ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อว่าราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้น ขณะนี้ กองทุนเฮดจ์ฟันด์กำลังลดการถือสถานะซื้อ (Long) ในน้ำมันลงอย่างต่อเนื่อง 

🔹 จำนวนสัญญาซื้อ WTI Crude Oil (Long-only positions) ลดลงเหลือ 172,576 สัญญา (ณ วันที่ 4 มี.ค.) ซึ่งใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2010 

🔹 ภายในไม่กี่สัปดาห์ จำนวนสถานะซื้อหายไปเกือบ 100,000 สัญญา ถือเป็นการปรับลดครั้งใหญ่ 

🔹 ตั้งแต่กลางเดือนมกราคม ราคาน้ำมันลดลงแล้ว 17% โดยอยู่ที่ประมาณ 67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 

🔹 นี่เป็นการลดลงติดต่อกัน 7 สัปดาห์ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023 

ตอนนี้มีนักลงทุนจำนวนมากเริ่มเปิดสถานะ “ขาย” ในน้ำมัน ซึ่งอาจนำไปสู่ แรงบีบจากฝั่ง Short (Short Squeeze) หากราคาหยุดลงและดีดกลับขึ้นมาอย่างรุนแรง 

แม้ว่าจะมีนักลงทุนจำนวนมากเริ่มเปิดสถานะ “ขาย” (Bearish bets) ในน้ำมัน แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาน้ำมันจะต้องพังเสมอไป นี่คือเหตุผล: 

🔹 ความต้องการยังแข็งแกร่ง: การใช้พลังงานทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูง หากอุปทานลดลงเมื่อไร ตลาดก็อาจกลับมาตึงตัวได้ทันที 

🔹 OPEC+ อาจเข้าแทรกแซง: หากราคาน้ำมันร่วงแรงเกินไป กลุ่ม OPEC+ ก็อาจตัดสินใจลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคา 

🔹 ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่: แม้สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะสิ้นสุดลง ความตึงเครียดในตะวันออกกลางหรือภูมิภาคอื่นๆ ก็ยังสามารถทำให้ราคาน้ำมันผันผวนได้อยู่ 

🔹 สหรัฐฯ อาจเริ่มเติมคลังน้ำมันสำรอง (SPR): หลังจากที่สหรัฐฯ ปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองระดับประวัติการณ์ในปี 2022–2023 ตอนนี้มีความจำเป็นต้องเติมกลับ หากราคาน้ำมันต่ำเกินไป รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเริ่มเข้าซื้อ ซึ่งจะกลายเป็นแนวรับ (floor) ให้กับราคาน้ำมัน 

ราคาน้ำมันในกราฟรายสัปดาห์กำลังเคลื่อนไหวในรูปแบบ “สามเหลี่ยมลดลง (Descending Triangle)” ซึ่งเป็นรูปแบบที่มักบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลง 

🔹 แนวรับสำคัญอยู่ที่บริเวณ $65 ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ถูกทดสอบมาแล้วหลายครั้ง หากราคาหลุดต่ำกว่าบริเวณนี้ อาจเกิดแรงขายรอบใหม่ 

🔹 กรณีเป็นขาลง (Bearish): หากราคาหลุดจากแนวรับของสามเหลี่ยมอย่างชัดเจน มีโอกาสลงไปทดสอบบริเวณ $60 หรือต่ำกว่านั้น 

🔹 กรณีเป็นขาขึ้น (Bullish Invalidation): หากราคาสามารถทะลุแนวต้านด้านบนของสามเหลี่ยมที่บริเวณ $77–$78 ได้อย่างชัดเจน จะเป็นสัญญาณที่แรงซื้อกลับเข้ามาควบคุม และอาจพลิกกลับเป็นแนวโน้มขาขึ้น 

ณ ตอนนี้ ราคาน้ำมันยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่กำลังรอสัญญาณที่ชัดเจนว่าแนวโน้มจะไปทางไหน 

คำถามคือ… ราคาน้ำมันจะทะลุขึ้น หรือร่วงลง? ติดตามบทวิเคราะห์ล่าสุดและอัปเดตแนวโน้มราคาน้ำมันได้ที่บล็อกของเรา 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-06-27 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

การเจรจาสันติภาพจะพาดัชนีหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่? 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดทั่วโลกต่างเตรียมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย น้ำมันพุ่งแรง ทองคำทะยาน พาดหัวข่าวเต็มไปด้วยความตึงเครียดว่าอาจเกิดสงคราม แต่ในแบบฉบับของตลาดการเงิน ทุกอย่างกลับพลิกอย่างรวดเร็ว  ตอนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทรัมป์กำลังผลักดันข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล (ซึ่งเราคาดการณ์ไว้ในบทความสัปดาห์ก่อน) บรรยากาศในตลาดเริ่มเปลี่ยน ความกังวลต่อความเสี่ยงสงครามเริ่มคลี่คลาย ราคาน้ำมันเริ่มย่อตัว สินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มเย็นลง ขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาฟื้นตัว  คำถามสำคัญในตอนนี้คือ: การเจรจาสันติภาพครั้งนี้ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่?  มาหาคำตอบกัน  จากความกลัวสงครามสู่ความหวังลดดอกเบี้ย  ตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอน พาดหัวข่าวสงครามคือความไม่แน่นอนขั้นสุด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงแกว่งตัวในกรอบแคบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อการเจรจาสันติภาพเริ่มมีแรงส่ง เส้นทางใหม่ก็กำลังเปิดขึ้น  ตอนนี้จุดโฟกัสไม่ใช่คำถามว่า “สงครามจะปะทุหรือไม่?” อีกต่อไป แต่มันกำลังเปลี่ยนเป็น “เฟดจะลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่?”  นั่นคือกุญแจสำคัญ เพราะยิ่งเฟดลดดอกเบี้ยเร็วเท่าไหร่ ตลาดหุ้นก็ยิ่งมีโอกาสไปได้แรงเท่านั้น  ทำไมข้อตกลงสันติภาพอาจเป็นตัวจุดชนวนที่สมบูรณ์แบบให้หุ้นพุ่ง  ข้อตกลงหยุดยิงที่น่าเชื่อถือสามารถดึงแรงกดดันมหาศาลออกจากระบบได้:  พูดง่ายๆ คือ ข้อตกลงสันติภาพอาจปูทางให้เกิดการรีบาวด์ในตลาดหุ้นวงกว้าง S&P 500 กำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบล่าสุด ขณะที่ Nasdaq ยังคงแข็งแกร่ง เมื่อความเสี่ยงจากสงครามลดลง บรรดานักลงทุนฝั่งกระทิงอาจเข้าควบคุมเกมได้  ทรัมป์ vs พาวเวลล์: ตัวเร่งตลาดคนถัดไป?  ทรัมป์ไม่เคยปิดบังว่าเขาต้องการดอกเบี้ยต่ำ เขาเคยโจมตีพาวเวลล์ในที่สาธารณะว่าเดินเกมช้าเกินไป  ในอีกด้าน พาวเวลล์กำลังเดินบนเส้นด้าย การสิ้นสุดสงครามทำให้เขาขยับไปสู่การลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ของทรัมป์และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังค้างอยู่ […]

article-thumbnail

2025-06-20 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

สงครามอิหร่าน-อิสราเอล: ราคาน้ำมันจะพุ่งถึง $100 และทองจะทะยานแตะ $4,000 หรือไม่? 

ตะวันออกกลางกลับมาเป็นจุดศูนย์กลางของความตึงเครียดในตลาดโลกอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่แค่การซ้อมรบ ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้ปะทุเป็นสงครามเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเป็นแหล่งน้ำมัน โรงกลั่น และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ  ผลกระทบคืออะไร? ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $100 และราคาทองคำทะยานสู่ระดับใหม่ใกล้ $4,000  แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป้าหมายราคาซื้อขาย เพราะผลกระทบแผ่กระจายไปถึงค่าเงิน อัตราเงินเฟ้อ คาดการณ์ดอกเบี้ย และพฤติกรรมนักลงทุน  และนี่คือภาพรวมของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมสิ่งที่นักเทรดและนักลงทุนควรจับตามองต่อไป  สงครามเต็มรูปแบบระหว่างอิหร่าน–อิสราเอล   สิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้แตกต่างคือขนาดและความตรงไปตรงมา ทั้งสองชาติพุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของกันและกันโดยตรง ตั้งแต่โรงกลั่นของอิหร่านไปจนถึงคลังเก็บน้ำมันของอิสราเอล  เรากำลังหลุดจากโลกของสงครามตัวแทนหรือการก่อวินาศกรรมลับ นี่คือสงครามเปิดที่มีห่วงโซ่อุปทานโลกตกเป็นเป้าหมาย  และนั่นพาเรามาถึงจุดยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบฮอร์มุซ  ประมาณ 20% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลกต้องผ่านเส้นทางเดินเรือสำคัญนี้ การหยุดชะงักใดๆ อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสามหลักได้ภายในข้ามคืน และในอดีต แค่มีการขู่ปิดช่องแคบก็เพียงพอจะจุดชนวนให้ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดแล้ว  หากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องทาง หรือการขนส่งกลายเป็นความเสี่ยงเกินไป ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ที่ระดับ $110–120 จะไม่ใช่การคาดการณ์ที่เกินจริงอีกต่อไป แต่นี่คือ “กรณีฐาน” ที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริง  น้ำมันจะพุ่งทะลุ $100 หรือไม่?  ราคาน้ำมันเริ่มตอบสนองต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ฟิวเจอร์สน้ำมัน WTI และ Brent ต่างพุ่งขึ้นจากการคาดการณ์ว่าการหยุดชะงักของอุปทานอาจทำให้ตลาดที่เปราะบางอยู่แล้วตึงตัวขึ้นไปอีก บวกกับการเก็งกำไรและต้นทุนประกันเรือบรรทุกที่เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นภาพชัดว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะแหวกแนวต้านสำคัญได้อย่างรวดเร็ว  ในเชิงเทคนิค ราคาน้ำมันกำลังทดสอบเส้นแนวโน้มขาลงหลักที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้านมาตั้งแต่ปี 2566 […]

article-thumbnail

2025-06-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

โลหะเงินแตะจุดสูงสุดรอบ 13 ปี: เป้าหมายต่อไป $50? 

ราคาทองคำขยับก่อน แต่ซิลเวอร์ขยับเร็ว  ในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว ราคาซิลเวอร์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 11.1% และตอนนี้กำลังซื้อขายที่ระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี จนกลายเป็นที่จับตามองของตลาด ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักเทรดสายเก็งกำไร ทุกคนต่างจับตาดูระดับราคาที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ช่วงพีคของปี 2554  สิ่งที่นักเทรดอยากรู้คือ: นี่คือจุดเริ่มต้นของการเบรกทะลุครั้งประวัติศาสตร์ใช่ไหม? หรือแค่เป็นอีกหนึ่งรอบที่ราคาจะ ไปไม่สุดแล้วอ่อนตัวลง ที่แนวต้านอีกครั้ง?  ทำไมการพุ่งขึ้นของซิลเวอร์รอบนี้ถึงสำคัญ  ท่ามกลางกระแสข่าวครึกโครมของ AI และคริปโต ความแข็งแกร่งของซิลเวอร์กำลังบอกสัญญาณบางอย่างที่ลึกกว่านั้น  ในอดีต ซิลเวอร์เคยเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บมูลค่า เช่นเดียวกับทองคำ เป็นโลหะที่มีการใช้ในอุตสาหกรรม และยังเป็น เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน เมื่อซิลเวอร์เคลื่อนไหว มันไม่ได้ขยับเบา ๆ  หากย้อนไปปี 2554 ราคาซิลเวอร์พุ่งจาก $35 ไปเกือบ $50 ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ หรือคิดเป็นการขยับขึ้นกว่า 40% ในไม่ถึงสองเดือน เป็นรอบที่พุ่งแรงและรวดเร็วจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว และความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัย  วันนี้เรากำลังเห็นรูปแบบที่คล้ายกันอีกครั้ง  และซิลเวอร์ก็กำลังตอบรับต่อสัญญาณนั้น  กราฟ 50 ปีที่เล่าเรื่องได้ในตัวเอง  กราฟด้านบนกำลังส่งสัญญาณเชิงเทคนิคที่น่าสนใจ โดยแสดงให้เห็นว่าราคาซิลเวอร์กำลังสร้างรูปแบบ “ถ้วยพร้อมหูจับ” ซึ่งมักเป็นสัญญาณขาขึ้นก่อนการเบรกทะลุครั้งใหญ่  […]